แสงกระสือ ลง Streaming ใน Netflix ครบทั้ง 2 ภาคแล้ว สำหรับ “แสงกระสือ”หรือ Inhuman kiss ภาค 1 และ ภาค 2 ภาพยนตร์ไทยแนวสยองขวัญ ดรามา โรแมนติก ที่หยิบยกตำนาน กระสือและกระหัง สิ่งลี้ลับที่อยู่คู่กับสังคมไทยมาอย่างยาวนาน จากหลักฐานที่ปรากฏอยู่ในกฎหมายตราสามดวง สู่นิยายภาพ และมีการนำไปดัดแปลงเป็นสื่อบนจอเงินและจอแก้วหลายครั้ง ซึ่ง แสงกระสือ ภาคแรกประสบความสำเร็จทั้งรายได้ กระแส และคำวิจารณ์ส่วนใหญ่เป็นไปในทางบวก จนทางผู้ผลิตดำเนินการสร้างภาคสองต่อ ซึ่งในบทความนี้ขอเริ่มรีวิว “ภาค 1” ก่อนนะคะ
แสงกระสือ 1
- ออกฉายครั้งแรกเมื่อปี 2562
- ผู้กำกับการแสดง โดม สิทธิศิริ มงคลศิริ
- เขียนบทภาพยนตร์ มะเดี่ยว ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล
เรื่องย่อ แสงกระสือ
แสงกระสือ ย้อนไปช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ณ หมู่บ้านชนบทแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างไกลความเจริญจากพระนคร สาย (มินนี่ ภัณฑิรา) หญิงวัยรุ่นผู้เป็นลูกสาวของผู้ใหญ่บ้านแห่งนี้ เธอมีความฝันอยากเป็นนางพยาบาล และมักเข้าไปเป็นเด็กฝึกงานที่สุขศาลา เป็นลูกมือของหมอเมตตาและนางพยาบาล เมื่อสงครามที่พระนครกำลังปะทุอย่างหนัก ทั้งหมอและพยาบาลจึงถูกเกณฑ์เข้าไปในเมืองหมด สายจึงได้โอกาสเข้าไปครอบครองสุขศาลา เธอมีเพื่อนคนหนึ่งที่โตมาด้วยกัน เป็นทั้งเพื่อนเล่น คู่หู ที่ปรึกษาอย่างเจิด (เกรท สพล) ชายหนุ่มที่แข็งแรง บึกบึน มีความฝันอยากเป็นทหาร ความใกล้ชิดสนิทสนม ทำให้เจิดคิดกับสายเกินกว่าคำว่าเพื่อน แต่สายก็ยังไม่ให้ใจเจิด เช้าวันหนึ่งสายตื่นขึ้นมาพบว่า บนที่นอนมีรอยเลือดปริศนาที่ผิดปกติจากเลือดประจำเดือน รวมทั้งสภาพห้องนอนที่ข้าวของกระจัดกระจาย มุ่ง ม่านหน้าต่างดูผิดปกติไปจากวิสัยของผู้หญิงเรียบร้อยอย่างเธอ ความผิดปกตินี้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ซ้ำยังมีอาการใหม่ปรากฏขึ้นอีก คือรอยแดงที่คอขนาดใหญ่ดูน่ากลัวมาก ประกอบกับไก่ วัว ควายของชาวบ้านเริ่มตายแบบสยดสยอง เธอนำเหตุการณ์ทุกอย่างมาเชื่อมโยงกัน จึงรู้แน่แก่ใจว่า เธอ คือ กระสือสาว ที่ออกหากินยามค่ำคืน สร้างความหวาดกลัวให้กับชาวบ้าน
วันหนึ่งสายและเจิดไปเที่ยวเล่นกันที่บ้านร้างโคกอีนวล อันเป็นสถานที่ที่แอบผู้ใหญ่ไปเที่ยวเล่นกันในวัยเด็ก ที่นี่ทั้งสองได้เจอเพื่อนสนิทที่ห่างหายจากบ้านเกิดไปนานอย่างน้อย (โอบ โอบนิธิ) หนุ่มนักเรียนแพทย์จากพระนคร การเจอกันครั้งนี้ทำให้เจิดรู้ว่าสายและน้อยยังไม่ลืมความรักในวัยเด็ก และพวกเขาพยายามสานต่อความสัมพันธ์แบบคนรักกันอีกครั้ง น้อยไม่ได้มาแค่คนเดียวเขาอาศัยเดินทางมากับกลุ่มล่ากระสือ ที่มีผู้นำทัพอย่าง ทัด (เอ็ม สุรศักดิ์) น้อยโกหกพวกนี้ว่าที่หมู่บ้านของเขามีกระสือ แต่พอมาถึง กระสือกลับมีตัวตนอยู่จริง ๆ สุดท้ายน้อยก็รู้ว่า คือ สาย คนรักของเขานั่นเอง ในขณะที่เจิดก็ไปเข้าร่วมแก๊งล่ากระสือกับเขาด้วย สายจะสามารถดำรงตนอยู่ในสังคมที่ไม่ยอมรับและพยายามกำจัดกระสือได้หรือไม่? รวมถึงท้ายที่สุดแล้วปัญหารัก/สาม/เศร้า และคำสัญญาที่ว่าเมื่อสงครามสงบพวกเขาทั้ง 3 จะไปพระนครด้วยกัน จะลงเอยอย่างไร รับชมได้ใน “แสงกระสือ 1”
การแสดงของนักแสดงหลัก
เริ่มกันที่ มินนี่ ภัณฑิรา รับบท “สาย” ถือเป็นตัวเอกของเรื่อง หนังเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องแรกของเธอ รวมถึงการรับบทแสดงนำครั้งแรกบนจอเงินด้วย ซึ่งถือว่าทำได้ดีสำหรับนักแสดงดาวรุ่ง เธอแสดงออกทางสายตาได้ดีมาก ที่เขาว่าดวงตาเป็นหน้าต่างของดวงใจ คือนิยามการแสดงของมินนี่ จะเสียใจ ดีใจ ทุกข์ทรมาน มีความสุข มีความหวัง ความฝัน หรือหวาดกลัว เรารับรู้จากสายตาของเธอได้ ยิ่งฉากที่ต้องแสดงเป็นกระสือ ซึ่งกระสือจะพูดไม่ได้ แสดงได้แค่แววตา ถือว่าทำได้ดีค่ะ ดูแล้วอินตามเศร้าจับหัวใจ สงสารในชะตากรรมที่เลือกไม่ได้ของสาย
ด้วยความที่มินนี่หน้าตาดูน่ารักสดใส ผสมผสานกับการแสดงที่มีเสน่ห์ ทำให้เธอแจ้งเกิด มียอดผู้ติดตามในไอจีพุ่งไปถึงหลักล้าน ถือเป็นก้าวแรกในวงการจอเงินที่ดีมาก ๆ ค่ะ และเธอก็คว้ารางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมมาครอบครองได้สำเร็จ จากบท กระสือสาย
โอบ โอบนิธิ รับบท “น้อย” นักเรียนแพทย์จากพระนคร ที่สงครามพรากความสุข ความหวังในชีวิตของเขาไป จนน้อย ต้องกลับมาอาศัยพึ่งใบบุญจากบ้านเกิด น้อยมีความสัมพันธ์ทีดีและฝังลึกติดตรึงใจกับสายมาตั้งแต่วัยเด็ก เมื่อได้กลับมาเจอกันอีก จึงสานต่อความสัมพันธ์ได้ไม่ยาก เขาคือตัวแทนของคนยุคใหม่ที่เชื่อในหลักการของวิทยาศาสตร์ เชื่อว่า กระสือในหมู่บ้านเกิดจากหลักของวิทยาศาสตร์ และเมื่อรู้ความจริงเรื่องคนรัก เขาก็พยายามหาทางออกเพื่อช่วยรักษาอาการ และให้สายอยู่ร่วมกับสังคมให้ได้
การแสดงของโอบในบทนี้ เล่นได้ดี ดูแล้วอินตาม ดูแล้วเชื่อว่านี่คือเด็กต่างจังหวัดที่เข้าไปเรียนในกรุงเทพฯ ช่วงแรกที่ยังไม่รู้ความจริงเรื่องกระสือ ก็น่ารัก สดใส อินเลิฟโลกสีชมพูกับสาย แต่พอรู้ความจริงเขาก็ช็อกไปเลย ฉากนี้น้อยดูหลอน สั่นประสาท สยองขวัญ มากๆ นักวิทยาศาสตร์เจอผี ทลายทุกกรอบแนวคิด ทฤษฎีของตนไปเลย กับ อีกฉากคือช่วงท้ายเรื่องโอบเล่นได้บีบหัวใจมาก ดรามาสุด ไม่พูดเยอะเดี๋ยวหลุดสปอยตอนจบค่ะ555 บท น้อย ในเรื่องนี้ ทำให้โอบได้รางวัลคมชัดลึกอวอร์ด นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม สาขาภาพยนตร์ ซึ่งถือเป็นรางวัลการแสดงที่เขาได้รับหลังจากเข้าวงการและฝากฝีมือมาหลายเรื่องแล้ว
เกรท สพล รับบท “เจิด” หนุ่มผู้แข็งแรง ดุดัน ห้าวหาญ แต่กลัวโหล-ดองวิทยาศาสตร์ที่สุขศาลา บทนี้ช่วงแรกก็สดใส น่ารัก ตามวัย ดูเป็นวัยรุ่นที่ยังเตะฝุ่น ยังเอาแน่เอานอนกับชีวิตไม่ได้ เน้นสนุกสนาน เอาสังคมไปวัน ๆ แต่พอน้อยกลับเข้ามาในชีวิตสายอีกครั้ง ทำให้เจิดได้สติ รู้ตัวว่าควรทำอะไรบางอย่างเพื่อสาย คนที่ตนติดอยู่ใน Friend Zone มานาน
ไม่ใช่แค่ มินนี่ ที่เล่นหนังเป็นเรื่องแรก เกรท สพล ก็รันวงการหนังครั้งแรกเช่นกัน ถือว่าทำได้ดี ฉากที่ต้องกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเรื่องความรักเล่นดี และแสดงให้เห็นว่าในใจของเจิดเจ็บปวด และร้าวรานมาก อกหักดังเป๊าะ ฉากอาละวาด แตกหักกับน้อยก็เล่นได้เป็นวัยรุ่นหัวร้อนและคลั่งรักดีค่ะ ซีนที่เราชอบของตัวละครเจิด คือ ฉากเคลียร์ใจกับสาย ดูแล้วสงสารเวทนาเจิดมาก ๆ บทนี้มันพระรองในซีรีส์เกาหลีชัด ๆ ถึงแม้เกรทจะไม่ได้รางวัลจากเรื่องนี้ แต่เขาก็มีชื่อเข้าชิงรางวัลนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมจากหลายสถาบัน
และ เอ็ม สุรศักดิ์ รับบท “ทัด” หัวหน้ากลุ่มล่ากระสือ จากพระนคร ที่ Portfolio แน่นมากแม่ สุดปัง ล่ากระสือมาทุกหนแห่ง ได้มาหลายกะโหลกเต็มคาราเบล ตัวละครนี้ถ้าพูดตรง ๆ ก็คือตัวร้ายของหนังเรื่องนี้แหละ ตอนจบขอ-บอกว่าคาดไม่ถึงยิ่งกว่าจริง ๆ กับบทนี้ ฉันร้องกรี๊ดเลย
ถือเป็นการกลับมาเล่นหนังอีกครั้งของพี่เอ็ม หลังจากห่างหายไปหลายปี ฝีมือของพี่เขายังคมกริบ เล่นได้สั่นประสาทและหลอนจิตเช่นเดิม ทั้งโหด เลือดเย็น และน่ากลัว ในคราวเดียวกัน และเล่นไม่ Over acting ตัวบททัด อารมณ์แบบตัวร้ายตลาด ๆ ในละครไทยยุคเก่าเลย ถ้าเล่นล้นเกินจะดูตลก แต่พี่เอ็ม ดีไซน์การแสดงบทนี้ออกมาได้มีมิติค่ะ
บทภาพยนตร์
การนำตำนานที่ถูกผลิตซ้ำเป็นสื่อบันเทิงมาหลายเวอร์ชัน มาดัดแปลงให้เข้ากับคนในยุคปัจจุบันถือเป็นเรื่องที่ท้าทายมาก จะนำเสนออย่างไรให้น่าสนใจ ซึ่งพี่มะเดี่ยว ชูเกียรติ สามารถสร้างสรรค์ได้อย่างน่าสนใจ การนำเรื่องราวว้าวุ่นของวัยรุ่น มาผสมผสานกับสิ่งลี้ลับ ซึ่งพี่มะเดี่ยวมีเชื่อเสียงอยู่แล้วกับการทำหนังวัยรุ่น ผลงานในอดีตสุดปังอย่างเรื่อง รักแห่งสยาม เกรียน ฟิคชั่น และ ดิวไปด้วยกันนะ
ใน แสงกระสือ ก็เช่นกันบทเรื่องวัยรุ่นคือดี และเข้าถึงความเป็นวัยรุ่นมาก ดูสวยงาม คลาสสิก ตามแบบฉบับของช่วงวัยได้ดีจริง ๆ ถือแม้จะเป็นวัยรุ่นยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ผู้เขียนบทก็สอดแทรกความสมัยใหม่ และความหัวก้าวหน้าลงไปในตัว สาย และ น้อย ได้อย่างลงตัว บทของตัวละครวัยรุ่นทั้ง 3 มีมิติ ไม่มีใครขาวหรือดำสนิท มีความเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดา ทุกปมปัญหาที่เรื่องผูกเอาไว้ถือว่าคลายปมได้ดี ดูแล้วไม่งง บทในซีนต่าง ๆ เขียนได้พีค หักมุม คำพูดคำใจ มีคม ๆ อยู่นะ ฟังแล้วตีความได้ลึกซึ้งกินใจและทำให้เราได้คิดตามเลยค่ะ
การกำกับการแสดง และงาน Production
ด้านงานภาพ ทำได้ดี ภาพสวย แสง สี ส่งเสริมและขับออร่านักแสดง ซีนกลางวันก็ทำให้หมู่บ้านดูสดใส สวยงาม ตามวิถีความเรียบง่าย และความสวยงามตามธรรมชาติของชนบท ในยามกลางคืนที่กระสือออกล่าเหยื่อ ก็กำกับภาพได้ดีดูอึมครึม น่ากลัว ลึกลับ จากธรรมชาติอันงดงามในตอนกลางวันแปรเปลี่ยนเป็นความลึกลับ ซ่อนเร้น ชวนขวัญผวา
ด้วยความที่เรื่องนี้เป็นแนวสยองขวัญ ลี้ลับ เหนือธรรมชาติ จึงต้องมีในเรื่องของ CG ถือว่าทำได้ดี กระสือในเรื่องนี้ถือว่าสร้างภาพจำใหม่ให้กับวงการกระสือไทย ด้วยการมีรยางค์ แทนที่จะมีแต่หัวกับไส้ ดูเป็นกระสือยุคใหม่ที่ไม่ดิบและเถื่อนเหมือนกระสือที่ผ่านมา ดูมีความแฟนตาซีแฝงอยู่ด้วย เรื่องนี้มีกระหังมาแจมกับเขาด้วย ซึ่งเนรมิตออกมาได้น่ากลัวมาก ขนลุกเลย ขอชมทีมเอฟเฟ็กต์นะคะ ดูแล้วสยอง บรึ๋ยทุกที
ฉากที่ผู้เขียนชื่นชอบเป็นพิเศษด้านงาน Production
- ฉากสุขศาลา ถ้าเป็นสมัยนี้ก็ฟีลแบบคลินิกหรือโรงพยาบาลของชาวบ้าน ข้าวของเครื่องใช้ อุปกรณ์การแพทย์ ทีมสร้างทำการบ้านได้ดีมาก ดูเป็นของยุคนั้นจริง ๆ สถานที่ถ่ายก็เลือกมาได้ดี ดูเก่าจริงและดูเป็นชนบท
- ฉากบ้านร้างโคกอีนวล ผู้เขียนเคยอ่านเบื้องหลังของทีมสร้างมา เขาว่าสร้างใหม่เลยนะคะ ทุ่มทุนสร้างและก็ไม่ผิดหวัง เป็นบ้านร้างเรือนไทยที่น่ากลัวมาก เป็นภาพแทนความคิดผู้เขียนเลยค่ะเวลาฟังเรื่องผีที่เกี่ยวกับบ้านร้างชนบท
- ฉากดงว่านกระสือ ซึ่งว่านกระสือก็คือไอเท็มพิเศษ ในการยับยั้งการกลายร่างเป็นกระสือของสาย แสงและสีสวยมาก ดูแฟนตาซี และเสริมบรรยากาศโรแมนติกให้สาย และ น้อย กล้าที่จะจูบกัน
- ฉากลานฉายหนังกลางแปลง ได้ฟีลสมัยก่อนมาก ผู้เขียนทันยุคหนังกลางแปลงอยู่ เขาถ่ายทอดได้ดีค่ะ ฉากนี้ถือว่าสเกลใหญ่มาก ๆ เพราะมีเรื่องราววินาศสันตะโรเกิดขึ้นมากมาย เป็นซีนใหญ่และยากของหนังเรื่องนี้
บรรยากาศท้องทุ่งนา ชนบท บ้านเรือน อื่น ๆ เลือกสถานที่ได้ดีค่ะ ดูเป็นวิถีชนบทมาก ๆ ตำนานกระสือก็ต้องมาคู่กับวิถีชนบท ถึงจะกลมกล่อมครบรส แสงกระสือ